settings icon
share icon
คำถาม

รอดได้ในวาระสุดท้าย- ฉันจำต้องรู้อะไรหรือ?

คำตอบ


บ่อยครั้งที่ผู้คนได้ประสบความวิตกกังวล เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับอนาคต อย่างไรก็ตามมันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น สำหรับผู้ที่รู้จักพระเจ้า ความคิดเรื่องอนาคตนำมาซึ่งความกระหายอยากรู้และความสุขสบาย ยกตัวอย่างเช่น การบรรยายถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักและวางใจในพระเจ้า

สุภาษิต 31:25 กล่าวว่า "เธอปลื้มปิติในอนาคต."

ความคิดสำคัญสองอย่างที่ต้องจดจำไว้ในใจเกี่ยวกับอนาคตคือ อย่างแรก พระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุด และทรงควบคุมทุกอย่าง พระองค์ทรงรู้อนาคตและทรงควบคุมสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นทั้งสิ้น

อิสยาห์ 46:9–11 “จงจำสิ่งล่วงแล้วในสมัยก่อนไว้ เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดอีก เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดเหมือนเรา ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบตั้งแต่เริ่มต้น และแจ้งถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำเลย ให้ทราบตั้งแต่กาลโบราณ กล่าวว่า 'แผนงานของเราจะยั่งยืน และเราจะกระทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทั้งสิ้น' เรียกเหยี่ยวมาจากตะวันออก คือเรียกชายที่ทำตามแผนงานของเรา จากเมืองไกล เออ เราพูดแล้ว และเราจะให้เป็นไป เรามุ่งแล้ว และเราจะกระทำ

อย่างที่สองที่ต้องจดจำเกี่ยวกับอนาคตคือว่า พระคัมภีร์ให้เค้าโครงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน "วาระสุดท้าย" หรือ "สมัยหลังๆ" เพราะพระคัมภีร์เป็นการเปิดเผยของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ และเพราะพระเจ้าทรงรู้และควบคุมอนาคต (ดังที่อิสยาห์กล่าวข้างต้น) แล้วมันหมายถึงเหตุผลที่ว่า เมื่อพระคัมภีร์พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราสามารถเชื่อถือได้เลย เรื่องการทำนายเกี่ยวกับอนาคต

2 เปโตร 1:21 “เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา”

ความจริงนี้เป็นหลักฐานข้อเห็นจริงว่า แตกต่างจากคำทำนายเท็จที่มีในศาสนาอื่น ๆ หรือโดยแต่ละบุคคลเช่น นอสตราดามุส พระคัมภีร์ไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง– ทุกครั้งที่พระคัมภีร์ได้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต มันก็เกิดขึ้นจริงตรงตามที่พระคัมภีร์กล่าว เมื่อพิจารณาว่าเราจะเข้าใจและรอดได้ในยุคสุดท้ายอย่างไร จงตอบคำถามทั้งสามข้อเหล่านี้:

1. ฉันควรแปลความหมายสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับอนาคตอย่างไร (คำพยากรณ์ตามพระคัมภีร์)

2. พระคัมภีร์พูดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวาระสุดท้าย

3.สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับอนาคตจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของฉันทุกวันนี้อย่างไร

ธีแปลความคำทำนายตามพระคัมภีร์
มีมุมมองมากมายในเรื่องวิธีใดที่ควรจะใช้ เมื่อแปลความหมายข้อพระธรรมเกี่ยวกับวาระสุดท้าย ในขณะที่มีคนดีๆ สนับสนุนความเชื่อที่แตกต่างกัน มีเหตุผลที่ดีที่จะเชื่อว่าคำพยากรณ์ตามพระคัมภีร์ควรจะตีความ (1) ตามที่เป็นจริง (2) ตามมุมมองผู้ที่ถือว่าคำทำนายเกี่ยวกับอนาคตยังมาไม่ถึง และ (3) ในสิ่งที่เรียกว่าลักษณะ "ก่อนยุคพันปี" ในการส่งเสริมการแปลความหมายตามที่เป็นจริง คือความจริงที่ว่า มีคำทำนายมากกว่า 300 อย่างที่เกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซูคริสต์ ซึ่งทั้งหมดได้สำเร็จเป็นจริงครบถ้วนแล้ว การทำนายเกี่ยวกับการบังเกิดของพระเมสสิยาห์ พระประวัติ การทรยศหักหลัง, ความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ ไม่ได้สำเร็จตามแบบอุปมานิทัศน์ หรือลักษณะด้านจิตวิญญาณ พระเยซูตามที่เป็นจริงประสูติในเมืองเบธเลเฮม ทรงสำแดงการอัศจรรย์มากมาย ทรงถูกทรยศโดยสาวกคนสนิทเพื่อเศษเงิน 30 เหรียญเงิน ทรงถูกแทงที่พระหัตถ์และพระบาท ทรงสิ้นพระชนม์พร้อมกับโจร ทรงถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ของคนรวย และทรงฟื้นขึ้นมาสามวันหลังจากความตาย รายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้ถูกทำนายไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนพระเยซูประสูติ และได้สำเร็จตามที่เป็นจริงทุกอย่าง และ ในขณะที่มีการใช้สัญลักษณ์ในคำพยากรณ์ต่างๆ (เช่นพญานาค คนขี่ม้า, ฯลฯ ) สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแสดงภาพของชีวิตจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในแบบเดียวกันมากกับที่ตรัสถึงพระเยซูว่าทรงเป็นทั้งสิงห์และลูกแกะ

เกี่ยวกับมุมมองของผู้ที่ถือว่าคำทำนายเกี่ยวกับอนาคตยังมาไม่ถึง พระคัมภีร์ระบุอย่างชัดเจนว่า หนังสือคำพยากรณ์เช่น พระธรรมดาเนียลและพระธรรมวิวรณ์ไม่ได้เป็นเพียง แต่เรื่องราวเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นเรื่องคำทำนายเหตุการณ์ในอนาคต หลังจากยอห์นได้รับข่าวสารสำหรับคริสตจักรทุกวันนี้ ท่านได้รับนิมิตกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวาระสุดท้าย ยอห์นถูกสอนว่า "จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็น เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า” (วิวรณ์ 4: 1)

บางทีข้อโต้แย้งที่รุนแรงสำหรับมุมมองที่ถือว่าคำทำนายเกี่ยวกับอนาคตยังมาไม่ถึงรวมทั้งพระสัญญาทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัม (ปฐมกาล 12 & 15) เรื่องดินแดนของอิสราเอล เพราะพันธสัญญาของพระเจ้ากับอับราฮัมไม่มีเงื่อนไข และพระสัญญาของพระองค์ยังไม่ได้เสร็จสมบูรณ์กับลูกหลานของอับราฮัม แล้วมุมมองที่ถือว่าพระสัญญาที่ทรงทำกับอิสราเอลให้เหตุผลที่รับรองได้

สุดท้าย ด้วยความนับถือว่าคำทำนายถูกแปลความหมายในลักษณะ "ก่อนยุคพันปี" นี้หมายความว่า ครั้งแรก คริสตจักรจะถูกรับขึ้นไปสวรรค์ แล้วโลกจะเผชิญกับระยะเวลาความทุกข์ยากลำบากเจ็ดปี และจากนั้นพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาครอบครองแผ่นดิน โลกตามเวลาที่แท้จริง 1,000ปี (วิวรณ์บทที่ 20)

แต่พระคัมภีร์พูดว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหรือ

พระคัมภีร์พูดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวาระสุดท้ายหรือ
น่าเศร้าใจ พระคัมภีร์ทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายลง ภัยพิบัติร้ายแรง ความบาปของมนุษย์ และการละทิ้งศาสนา ก่อนพระคริสต์เสด็จกลับมา เปาโลบันทึกว่า “แต่จงเข้าใจข้อนี้ด้วย คือว่าในวันสุดท้ายนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค......แต่คนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น ทั้งล่อลวงคนอื่น และก็ถูกคนอื่นล่อลวงด้วย (2 ทิโมธี 3:1, 13). ชาวโลกยังคงปฏิเสธไม่รับพระเจ้า พระคำของพระองค์ และประชากรของพระองค์

วันหนึ่งในอนาคต ---วันที่ไม่มีใครรู้—พระเจ้าจะทรงยุติยุคแห่งคริสตจักร ซึ่งเริ่มต้นในในศตวรรษแรกวันเพนเทคอส (กิจการบทที่ 2)โดยให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าการรับขึ้นไปสวรรค์ ในเวลานั้น พระเจ้าทรงยกเอาบรรดาผู้เชื่อในพระคริสต์ไปจากโลก เพื่อทรงจัดเตรียมสำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย

1 เธสะโลนิกา 4:14–18 “เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น มากับพระองค์ ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หาไม่ ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด”

สันติสุขที่เสื่อมทรามลงและความสับสนอลหม่านเพิ่มขึ้น ที่เกิดขึ้นก่อนการรับขึ้นไปสวรรค์ จะบรรลุถึงขนาดที่หนักหนามากที่สุด เมื่อคนมากมายที่ไม่ทราบจำนวนจะหายวับไปจากโลก เหตุการณ์เช่นนั้นจะก่อให้เกิดความหวาดผวาและต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ผู้ที่จะให้คำตอบต่อปัญหามากมายของโลกนี้ การเตรียมหาผู้นำได้ดำเนินการมาสักพักหนึ่ง ดังที่นักประวัติศาสตร์ อาร์โนลด์ ทอร์นบี ได้กล่าวว่า “ โดยการใช้กำลังอาวุธร้ายแรงถึงตายต่อมนุษยชาติมากขึ้นเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันทำให้โลกยิ่งมีเสรีมากขึ้นทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีได้นำพามนุษย์ไปถึงความทุกข์ยากถึงระดับหนึ่ง จนเราพร้อมแล้วที่จะยกซีซาร์ใหม่คนใดก็ได้เป็นพระเจ้า ผู้ที่อาจจะทำให้โลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีสันติสุขได้สำเร็จ จากจักรวรรดิโรมันที่เรืองอำนาจใหม่ บุคคลที่ถูกจัดอยู่ในระบบรัฐธรรมนูญทั้งสิบฉบับแห่งสหภาพยุโรป

ดาเนียล 7:24 “ส่วนเรื่องเขาสิบเขานั้น จากราชอาณาจักรนี้ จะมีกษัตริย์สิบพระองค์เกิดขึ้น และมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ผิดแปลกกว่ากษัตริย์ที่มีมาก่อน และจะโค่นกษัตริย์เสียสามองค์”

วิวรณ์ 13:1 “และข้าพเจ้าได้เห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้าจารึกไว้ที่หัวของมัน”

ปฏิปักษ์พระคริสต์จะเกิดขึ้นและลงนามในพันธสัญญากับชนชาติอิสราเอล ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการนับถอยหลังคำทำนายเจ็ดปีของพระเจ้า จนถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์

ดาเนียล 9:27 “ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอัน มากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูก เทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น”

เป็นเวลาสามปีครึ่ง ปฏิปักษ์พระคริสต์จะครอบครองแผ่นดินโลก และสัญญาให้มีสันติสุข แต่มันก็เป็นความสันติสุขจอมปลอมซึ่งจะล่อประชาชนบนแผ่นดินสู่กับดัก

1 เธสะโลนิกา 5:3 “เมื่อเขาพูดว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น”

สงคราม แผ่นดินไหวและการกันดารอาหารจะบานปลายจนสิ้นระยะยุคของปฏิปักษ์หระคริสต์ครอบครอง 3.5 ปี เมื่อมันจะเข้าสู่พระวิหารที่สร้างขึ้นมาใหม่ในกรุงเยรูซาเล็ม และประกาศว่าตัวเองเป็นพระเจ้าและเรียกร้องให้คนเคารพบูชา

2 เธสะโลนิกา 2:4 “ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระ หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าประกาศตัวว่า เป็นพระเจ้า”

มัทธิว 24: 7, 15 “เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะ ต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหว ในที่ต่างๆ ‘เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติ ตามพระวจนะที่ตรัสโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะนั้นตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด)”

ตรงจุดนั้นเองที่พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ตอบสนองต่อการท้าลองดี

อีก 3.5 ปี จะเกิดมหากลียุคขึ้น อย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

มัทธิว 24:21–22 “ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจน ถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า”

การสูญเสียชีวิตอย่างนับไม่ถ้วน และความหายนะของโลกจะเกิดขึ้นในช่วงมหากลียุค นอกจากนี้ คนจำนวนมากจะมาเชื่อถือในพระคริสต์ แต่ผู้คนมากมายทำเช่นนั้นโดยแลกกับชีวิตของพวกเขาเอง พระเจ้าจะยังทรงควบคุม เมื่อพระองค์ทรงรวบรวมพลไพร่ที่ไม่เชื่อในโลกนี้ เพื่อที่จะทรงพิพากษาพวกเขา

โยเอล 3:2 “เราจะรวบรวมบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น และนำเขาลงมาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท และเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเขา ที่นั่นด้วยเรื่องประชากรของเรา คืออิสราเอลมรดกของเรา เพราะว่าเขาได้กระจายชนชาติของเรา ไปท่ามกลางประชาชาติ และได้แบ่งแผ่นดินของเรา”

วิวรณ์ 16:13–16 “และข้าพเจ้าเห็นผีโสโครกสามตนรูปร่างคล้ายกบ ออกมาจากปากพญานาค ออกจากปากสัตว์ร้ายนั้น และออกจากปากคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ ด้วยว่าผีเหล่านั้นเป็นผีร้ายกระทำหมายสำคัญ มันออกไปหากษัตริย์ทั้งปวงทั่วพิภพ เพื่อให้บรรดากษัตริย์เหล่านั้นร่วมกันทำสงคราม ในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด (นี่แน่ะ เราจะแอบย่องมาเหมือนขโมย ผู้ที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้อย่างดีจะเป็นสุข เพราะว่าเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็น) และมันทั้งสามได้ชุมนุมพวกกษัตริย์ที่ตำบลหนึ่ง ซึ่งภาษาฮีบรูเรียกว่าอารมาเกดโดน”

วิวรณ์19:11–21 “แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิดมีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า 'สัตย์ซื่อและสัตย์จริง' พระองค์พิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความเป็นธรรม . พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ 'พระวาทะของพระเจ้า' เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียดขาวบริสุทธิ์ ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติ ด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด . พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า “จอมกษัตริย์และจอมเจ้านาย’ แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ ท่านร้องประกาศแก่นกทั้งปวงที่บินอยู่ในท้องฟ้า ด้วยเสียงอันดังว่า ‘จงมาประชุมกันในการเลี้ยงใหญ่ของพระเจ้า เพื่อจะได้กินเนื้อกษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อชายฉกรรจ์ เนื้อม้า และเนื้อคนที่นั่งบนม้า และเนื้อประชาชน ทั้งไทและทาส ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย” และข้าพเจ้าเห็นสัตว์นั้น และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลก พร้อมทั้งพลรบของกษัตริย์เหล่านั้น มาประชุมกันจะทำสงครามกับพระองค์ผู้ทรงม้า และกับพลโยธาของพระองค์ สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วยคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ ที่ได้กระทำหมายสำคัญต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น และใช้หมายสำคัญนั้นล่อลวงคนทั้งหลาย ที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้น และบูชารูปของมัน สัตว์ร้ายและคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ ถูกทิ้งทั้งเป็นลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน และคนที่เหลืออยู่นั้น ก็ถูกฆ่าด้วยพระแสงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ผู้ทรงม้านั้นเสีย และนกทั้งปวงก็กินเนื้อของคนเหล่านั้นจนอิ่ม”

หลังจากที่พระคริสต์ทรงพิชิตกองทัพทั้งหมดที่มาตั้งที่หุบเขาอาร์มาเกดดอน พระองค์จะทรงครองร่วมกับธรรมิกชนของพระองค์เป็นเวลาหนึ่งพันปี และทรงรื้อฟื้นชนชาติอิสราเอลทั้งสิ้นไปยังดินแดนของเขา พอถึงตอนสิ้นสุดเวลาพันปี จะเกิดการพิพากษาครั้งสุดท้ายของบรรดาประชาชาติและมนุษยชาติที่ยังเหลืออยู่ แล้วก็เกิดแผ่นดินนิรันดร์: ใช้เวลากับพระเจ้าหรือแยกออกจากพระองค์ (ยืนยันในวิวรณ์ 20-21)

เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การคาดเดาหรือความเป็นไปได้ – พวกมันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับคำพยากรณในพระคัมภีร์ทั้งหมด เรื่องการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์เกิดขึ้นจริง ดังนั้นคำพยากรณ์ของพระคัมภีร์ทั้งหมดเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ก็จะเป็นจริงด้วย

เมื่อได้รับความจริงในคำพยากรณ์เหล่านี้ อะไรที่ส่งผลกระทบต่อเราตอนนี้หรือ

2 เปโตร 3:11–12 “เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม 12จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป”

ผลของพระคัมภีร์ทำนายที่มีต่อเราทุกวันนี้
เราควรสนองตอบ 4 อย่างต่อคำพยากรณ์พระคัมภีร์ ประการแรกคือการเชื่อฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เปโตรพูดถึงในข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้น พระเยซูยังทรงตรัสแก่เราว่าจงเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระองค์ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้

มาระโก 13:33-37 “จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร เหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปทางไกล มอบอำนาจให้แก่บ่าวทุก เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า จงเฝ้าระวังอยู่ กลัวว่าจะมาฉับพลัน และจะพบท่านนอนหลับอยู่ ซึ่งเราบอกพวกท่าน เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่าจงเฝ้าระวังอยู่เถิด และที่จะมีชีวิตอยู่ในลักษณะที่ว่าเราจะไม่ละอายใจต่อพฤติกรรมของเรา”

การตอบสนองที่สองคือ การนมัสการ พระเจ้าได้จัดเตรียมทางให้เราหลุดพ้นการพิพากษาในวาระสุดท้าย --พระองค์ทรงประทานความรอดโดยผ่านทางพระเยซู เราต้องแน่ใจว่าเราได้รับความรอดจากพระองค์และมีชีวิตที่กตัญญูต่อพระองค์ การนมัสการของเราในโลกวันหนึ่งจะกลายเป็นการนมัสการในสวรรค์

วิวรณ์ 5:9 “และเขาทั้งหลายก็ร้องเพลงใหม่ว่าดังนี้“

พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมควรจะทรงรับม้วนหนังสือ และแกะตราม้วนหนังสือนั้นออก เพราะว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์แล้ว และด้วยพระโลหิตของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงไถ่คนทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชาติและทุกประเทศเพื่อถวายแด่พระเจ้า” การตอบสนองที่สามคือการประกาศ ข่าวสารแห่งความรอดของพระเจ้าและความจริงเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์จะต้องประกาศให้ทุกคนได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ยังไม่เชื่อ เราต้องให้ทุกคนมีโอกาสที่จะหันไปหาพระเจ้า และได้รับความรอดจากพระอาชญาของพระองค์

วิวรณ์ 22:10 “และท่านบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าประทับตราไว้ปิดคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ เพราะว่าใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว”

การตอบสนองข้อสุดท้าต่อคำทำนายของพระเจ้าคือการรับใช้ ผู้เชื่อทุกคนควรจะขยันที่จะดำเนินการตามพระประสงค์ของพระเจ้า และการสำแดงความประพฤติที่ดี ส่วนหนึ่งของการพิพากษาของพระคริสต์จะเป็นการประพฤติของผู้เชื่อ พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบการยอมรับในสวรรค์ของคริสเตียน แต่พวกเขาแสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อทุกคนทำโดยของประทานที่พระเจ้าทรงให้เขาหรือเธอ

2โครินธ์ 5:10 “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว”

โดยสรุป พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดเหนือเหตุการณ์ทั้งปวงและผู้คนในโลก พระองค์ทรงแน่วแน่ในการควบคุมทุกอย่าง และจะนำทุกอย่างจบสิ้นดังที่ได้ทรงเริ่มต้น เพลงคริสเตียนเก่าแก่ใส่เนื้อร้องดังนี้ "ทุกอย่างเป็นการทรงสร้างของพระเจ้า ... ออกแบบโดยพระหัตถ์ข้างหนึ่ง ... ซาตานและความรอด ... ภายใต้พระบัญชาเดียว"

คำพยากรณ์ที่สำเร็จแล้วเป็นหลักฐานหนึ่งว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มหัศจรรย์ คำพยากรณ์พระคัมภีร์เดิมหลายร้อยอย่างสำเร็จครบถ้วนแล้ว และมันก็มีเหตุผลที่จะสรุปได้ว่าสิ่งที่กล่าวเกี่ยวกับวาระสุดท้ายจะสำเร็จด้วยเช่นกัน สำหรับบรรดาผู้ที่รู้จักพระเยซูและได้ไว้วางใจพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา การเสด็จกลับมาของพระองค์นำมาซึ่งความหวังที่เปี่ยมด้วยความสุขของพวกเขา

ทิตัส 2:13 “คอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวัง ได้แก่การปรากฏของพระสิริ ของพระเจ้าใหญ่ยิ่งคือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา”

แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธพระคริสต์ พระองค์จะทรงเป็นความหวาดผวาของเขาเลยเชียวแหละ

2 เธสะโลนิกา 1:8 “และจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูเจ้าของเรา”

บรรทัดล่างคือสิ่งนี้: เพื่อความอยู่รอดในวาระสุดท้าย จงแน่ใจว่าคุณเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์

1 เธสะโลนิกา 5:9 “เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา” English



กลับสู่หน้าภาษาไทย

รอดได้ในวาระสุดท้าย- ฉันจำต้องรู้อะไรหรือ?
แบ่งปันหน้านี้: Facebook icon Twitter icon Pinterest icon Email icon
© Copyright Got Questions Ministries